ผลประกอบการของ NER ในปีนี้ ต้องพึ่งพาคำสั่งซื้่อจากลูกค้าจีนอยู่มาก หลังจากเพิ่งตัดสินใจขยายกำลังผลิตยางเพิ่มถึง 59% และหากไม่มีลูกค้าใหม่เข้ามาก็อาจเจ็บตัวได้ ซึ่งนักวิเคราะห์ก็เชื่อว่าจะสามารถหาลูกค้าเข้ามาได้ราว 80% ของกำลังผลิตใหม่ เพราะโควิด-19 ในจีนที่คลี่คลายได้เร็ว จึงอาจเห็นกำไรปี 63-64 ยังเติบโตได้ค่อนข้างดี แต่ราคาหุ้นขณะนี้ถือว่าคุ้มหรือไม่ กับการต้องลุ้นสถานการณ์โควิด-19 ในจีนที่ส่อกลับมาระบาดรอบสอง?
*** NER บวกต่อ! พยายามขึ้นไปทดสอบ All Time High อีกรอบ
หุ้น บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เป็นหุ้นเพียงไม่กี่ตัวที่ราคาปรับตัวขึ้นสวนตลาดแดงเดือดในวันทำการที่ผ่านมา(15มิ.ย.63) และยังปรับตัวขึ้นได้ต่อในวันนี้ โดยราคาหุ้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดรอบเช้าที่ 2.88 บาท เข้าใกล้จุดสูงสุดตลอดกาล(All Time High)ที่ทำไว้ 2.94 บาทในก.ค.62 ก่อนปิดตลาดรอบเช้าไปที่ 2.84 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท หรือ +2.16%
สาเหตุหลักๆ ที่ผลักดันให้ราคาหุ้น NER ฟื้นคืนชีพขึ้นมาทดสอบ All Time High ได้นั้นก็คือคำสั่งซื้อในจีนที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั่นเอง โดยเฉพาะลูกค้าใหม่ 2 รายที่มีคำสั่งซื้อถึง 72,000 ตัน ซึ่งเริ่มส่งมอบตั้งแต่ มิ.ย. 63 - มิ.ย. 64
ตามการเปิดเศรษฐกิจในจีนที่เร็วกว่าประเทศอื่นๆ ยิ่งทำให้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อเข้ามามากขึ้น โดยที่ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)หยวนต้า ระบุว่า NER ลูกค้าหลักเป็นอุตสาหกรรมยางรถยนต์ในประเทศจีน ดังนั้นการกลับมาเปิดเศรษฐกิจจะทำให้ ตลาดยางรถยนต์เก่าคึกคัก เพราะผู้บริโภคกลับมาดูแลรถยนต์อีกครั้งตามการใช้ขนส่งสาธารณะที่ลดลงเพราะความกังวลด้านสุขอนามัย
อีกทั้งการเติบโตของธุรกิจ Delivery ยิ่งทำให้ยางรถยนต์มีความต้องการมากขึ้น โดยที่ International Rubber Study Group (IRSG) ระบุว่ายอดจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในจีนเดือนเม.ย. เติบโตถึง +31.5% YoY และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในเดือน พ.ค. และรถยนต์ส่วนบุคคล เดือน พ.ค. +1.9% YoY เติบโตเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี
*** คำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจะทำให้งบครึ่งปีหลังโตก้าวกระโดดไปจนถึงปี 64
*กำไรสุทธิทั้งปี 63 แตะ 600 ล้านบาท
บล.หยวนต้า ระบุต่อว่า ในไตรมาส 2/63 NER ยังคงได้รับ ผลกระทบจากปริมาณส่งมอบที่ชะลอลง เพราะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ อัตรากำไรขั้นต้น(GPM) จะทรงตัวสูงจากไตรมาสแรกที่ 14% เพราะต้นทุนยางต่ำ อาจมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและสัญญาล่วงหน้า ทำให้กำไรสุทธิจะอยู่ที่ราว 180 - 220 ล้านบาท
ส่วนกำไรในไตรมาส 3/63 เป็นต้นไปจะเด่นมาก จากทั้งลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่จากจีน 2 ราย 72,000 ตัน ที่เริ่มส่งมอบตั้งแต่มิ.ย.63 เมื่อผนวกกับราคาขายที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/63 จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น(GPM) ขึ้นไปแตะ 16 - 17% ได้
ขณะที่ไตรมาส 4/63 กำไรจะทำระดับสูงสุดใหม่เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น(High Season) พร้อมกับ GPM ที่สูงขึ้น ปัจจุบันมียอดขายที่ทำสัญญารองรับแล้วถึงเดือนต.ค.63 คาดทำยอดขายในปีนี้ได้ 1.7 หมื่นล้านบาทโต 31% YoY ซึ่งหากคำนวณแบบอนุรักษ์นิยมจะได้กำไรปกติที่ 500 - 700 ล้านบาท และคิดเป็นกำไรสุทธิในปี 63 ที่ 600 ล้านบาท
คิดเป็นราคาเหมาะสมปี 63 ที่ 3.25 - 3.9 บาท
*กำไรสุทธิปี 64 ที่ 750 ล้านบาท
สำหรับปี 64 คาดกำไรจะเติบโต 25% YoY จากกำลังผลิตใหม่ 172,800 ตัน/ปี สามารถสร้างรายได้เต็มปี และหากบริษัทสามารถหาคำสั่งซื้อมาป้อนได้เต็มกำลังผลิตทั้งหมดอาจเห็นกำไรโตได้มากกว่า 40% อย่างไรก็ดีด้วยมุมมองอนุรักษ์นิยมที่ 25% จะได้กำไรปกติที่ 625 - 750 ล้านบาท และคิดเป็นกำไรสุทธิที่ 750 ล้านบสม
คิดเป็นราคาเหมาะสมปี 64 ที่ 4.06 - 4.87 บาท
*** โควิด-19 ในจีนวางใจได้แล้ว แน่หรือ ?
จากรายงานข่าวล่าสุด(15 มิ.ย.) คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) เปิดเผยว่า ประเทศจีนพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ 40 ราย ซึ่งมีผู้ป่วยถึง 32 รายที่เป็นผู้ติดเชื้อภายในประเทศ ส่วนอีก 8 รายเป็นผู้ติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศ ประเด็นนี้สร้างความกังวลอย่างมาก โดยเฉพาะความเสี่ยงที่อาจเกิดการระบาดระลอกใหม่
แม้การรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ในจีนจะรวดเร็วและมีประสิทธิภาพขึ้นมากกว่าการระบาดในครั้งแรก แต่ก็ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์จะรุนแรงแค่ไหน และถึงขั้นต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกหรือไม่
ซึ่ง บล.ฟิลลิป ระบุไว้ก่อนหน้าว่า โควิด-19 จะส่งผลต่อลูกค้าของ NER ทั้งลูกค้าใหม่ และลูกค้าเก่า โดยที่ลูกค้าเก่าจะได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในสหรัฐและยุโรปทำให้ลูกค้าจีนที่มีโรงงานอยู่ในไทยไม่สามารถส่งออกได้ ขณะที่ลูกค้าใหม่ก็ไม่สามารถมาตรวจโรงงานเพื่อส่งมอบสินค้าได้ แม้จะได้ลูกค้าใหม่จากจีน 2 รายที่จะเริ่มส่งออกในเดือนก.ค.เข้ามาหนุน
*** อัตราแลกเปลี่ยน ตัวฉุดกำไรที่ห้ามมองข้าม
บล.ฟิลลิป ระบุเพิ่มอีกว่า การทำสัญญาการเงินภายใต้เงินบาทที่อ่อนค่า คาดจะทำให้ NER ต้องรับรู้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาโดยที่สัญญาจะใช้หมดในครึ่งแรกของปี 63 ทำให้แม้กำไรปกติทั้งปีจะทำได้ที่ 608 ล้านบาท โต 35% YoY แต่เมื่อหักลบกับขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน คาดจะมีกำไรสุทธิปี 63 อยู่ที่ 458 ล้านบาท ลดลง -15% YoY
*** โดยรวมนักวิเคราะห์ยังแนะนำ "ซื้อ"
ทั้งนี้จากการสำรวจคำแนะนำของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แม้จะมองปัญหาโควิด-19 กระทบการส่งมอบ และประเด็นค่าเงินเข้าไปแล้ว ก็ยังแนะนำซื้อเพราะกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นมาก ต้นทุนที่ต่ำลง และโอกาสที่จะได้คำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มนั่นเอง
บล. |
คำแนะนำ |
ราคาเหมาะสม(บ.) |
ยูโอบี เคย์เฮียน |
ถือ |
2.14 |
คันทรี่ กรุ๊ป |
ซื้อ |
2.60 |
ฟิลลิป |
ซื้อ |
2.96 |
โนมูระ พัฒนสิน |
ซื้อ |
3.10 |
เคทีบี |
ซื้อ |
3.10 |
หยวนต้า |
- |
3.25 - 3.90 |
สถานการณ์โควิด-19 เคยเป็นความเสี่ยงหลักของ NER มาก่อน แต่กลับเปลี่ยนมาเป็นโอกาส หลังจากที่เศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นลูกค้าหลักกลับมาฟื้นตัวเร็วที่สุด วันนี้ "ตลาดจีน" เริ่มกลับมาเป็นความเสี่ยงอีกครั้งแล้ว ราคาหุ้นในปัจจุบันเองก็ไม่ได้ถือว่าถูกมากมายด้วย ดังนั้นการรอความชัดเจนของสถานการณ์โควิด-19 ในจีนที่เสี่ยงระบาดรอบใหม่อาจจะเป็นการดีกว่า!
0 Response to "NER เสี่ยงแค่ไหน? หลังโควิดส่อระบาดรอบสองในจีน - efinanceThai"
Post a Comment